Gen Z และภาวะวิตกกังวล: 4 ภัยเงียบจากสมาร์ทโฟนที่เปลี่ยนสมองและจิตใจของคนรุ่นใหม่
- พิชชาพร สิทธิโชค
- 5 วันที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีสถิติที่น่ากังวลปรากฏขึ้นทั่วโลก นั่นคือกลุ่มคนที่เกิดหลังปี 1995 หรือ "Gen Z" มีแนวโน้มเผชิญกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนรุ่นก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยในบางพื้นที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100%
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะคนรุ่นใหม่ "อ่อนแอ" กว่าเดิมจริงหรือ?
บทความนี้จะพาไปสำรวจคำตอบผ่านมุมมองของ ดร.โจนาทาน ไฮท์ (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคมและผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation ที่ชี้ให้เห็นว่า ต้นตอของปัญหาอาจไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็น "ภัยเงียบ" จากเทคโนโลยีใกล้ตัวอย่างสมาร์ทโฟน ที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงจรสมองและจิตใจของคนรุ่นใหม่โดยที่เราไม่รู้ตัว
Gen Z: คนรุ่นวิตกกังวล (The Anxious Generation)
ข้อมูลจากทั้งในและต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า ปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่ม Gen Z กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ขณะที่กรมสุขภาพจิตของไทยเองก็รายงานว่า 1 ใน 7 ของเด็กและวัยรุ่นไทยกำลังเผชิญกับปัญหานี้
ดร.โจนาทาน ไฮท์ อธิบายว่า Gen Z คือ "คนรุ่นวิตกกังวล" ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน:
การปกป้องที่มากเกินไปในโลกจริง (Overprotection in the real world): พ่อแม่ยุคใหม่พยายามกีดกันลูกออกจากความเสี่ยงทุกอย่าง ทำให้เด็กขาดโอกาสเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกันจากประสบการณ์จริง
การปกป้องที่น้อยเกินไปในโลกออนไลน์ (Underprotection in the online world): ในทางกลับกัน เด็กกลับถูกปล่อยให้เผชิญโลกออนไลน์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความเสี่ยงโดยลำพัง
การผสมผสานของสองปัจจัยนี้ ก่อให้เกิดภัยเงียบ 4 ประการที่สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมองและสังคมของคนรุ่นใหม่
4 ภัยเงียบจากสมาร์ทโฟนที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต
1. การขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Deprivation)
เมื่อการสื่อสารย้ายจากโลกจริงไปสู่โลกออนไลน์ ทักษะที่จำเป็นต่อการเข้าสังคมจึงลดลง เด็กยุคใหม่ใช้เวลาในโลกดิจิทัลมากกว่าการพบปะพูดคุยกันซึ่งหน้า ทำให้:
เกิดความเข้าใจผิดง่าย: การสื่อสารผ่านข้อความหรือเกม ขาดน้ำเสียงและสีหน้าท่าทาง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ตีความเจตนาของคู่สนทนาได้อย่างถูกต้อง
ทักษะทางสังคมถดถอย: ขาดการฝึกฝนการอ่านภาษากาย การต่อรอง และการแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบเผชิญหน้า
รู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น: แม้จะเชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา แต่ความสัมพันธ์ผิวเผินอาจนำไปสู่ความรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
2. การอดนอนและคุณภาพการนอนที่ลดลง (Sleep Deprivation)
สมาร์ทโฟนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องนอน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อวงจรการนอนหลับ
แสงสีฟ้า (Blue Light): รบกวนการหลั่งสารเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ ทำให้หลับยากขึ้น
การแจ้งเตือนและเนื้อหาที่กระตุ้นสมอง: ทำให้ร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดภาวะอดนอนเรื้อรังและ "หนี้การนอน" ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล
3. สมาธิที่แตกกระจาย (Attention Fragmentation)
โลกออนไลน์ถูกออกแบบมาเพื่อดึงความสนใจของเราด้วยการแจ้งเตือนและการสลับหน้าจอไปมาตลอดเวลา ส่งผลให้:
สมองคุ้นชินกับการถูกขัดจังหวะ: ทำให้ความสามารถในการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน (Deep work) ลดลงอย่างมาก
กระทบต่อการเรียนรู้: ครูผู้สอนจำนวนมากสังเกตเห็นว่านักเรียนมีปัญหาในการฟังหรือทำงานที่ต้องใช้สมาธิต่อเนื่อง เพราะสมองถูกฝึกให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าสั้นๆ มากกว่า
4. พฤติกรรมเสพติด (Addiction)
แอปพลิเคชันและโซเชียลมีเดียถูกออกแบบโดยใช้องค์ความรู้ทางจิตวิทยาเพื่อทำให้ผู้ใช้ "ติด" เช่น:
Infinite Scroll: การเลื่อนฟีดดูเนื้อหาได้อย่างไม่สิ้นสุด
Intermittent Notifications: ระบบการแจ้งเตือนเป็นช่วงๆ ที่กระตุ้นให้เรากลับเข้าไปดูบ่อยๆ
Personalized Algorithms: อัลกอริทึมที่คัดเลือกเนื้อหามาป้อนเราโดยเฉพาะ ทำให้ยากที่จะวางมือถือลง ผลสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า เด็กวัยรุ่นกว่าครึ่งรู้สึกว่าตนเอง "ติดมือถือ" และกลุ่มที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอมากกว่า 3-4 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
Comments