โรงเรียนที่อบอุ่น สร้างใจให้เข้มแข็ง
- Psych By Side

- 4 ก.ย.
- ยาว 2 นาที

“พี่… ผมอยากรวย อยากหาเงินได้มากกว่านี้ เวลาเห็นเพื่อนในโซเชียล มีฐานะดี ใช้ของแพง ไปเที่ยวต่างประเทศ คนไลท์เยอะ ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยังดีไม่พอ”
ประโยคที่นักจิตมักได้ยินบ่อยๆในฐานะครูที่ปรึกษาน้องๆ นักเรียนค่ะ
เด็กนักเรียนของเรากำลังเติบโตท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบตลอดเวลา ทั้งเรื่องเรียน หน้าตา และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เราไม่ได้แค่แข่งขันกันในห้องเรียน แต่ยังต้องแข่งขันกับภาพชีวิตสวยๆ ใน social media ที่ดูสมบูรณ์แบบไปหมด เมื่อต้องเห็นแบบนี้ทุกวัน ความเครียด ความกดดันอาจสะสมจนกลายเป็นบาดแผลในใจได้…
ดร. Jonathan Haidt ผู้เขียน The Anxious Generation เปรียบว่าคนยุคนี้เติบโตบน “ดาวเคราะห์ใหม่” ที่ไม่เคยมีใครอาศัยมาก่อน โลกที่อยู่แต่ในหน้าจอ ขาดการเล่น ขาดชุมชน และขาดการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ อีกทั้งคนในยุคนี้ยังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าคนในวัยอื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้รายงาน UNICEF ล่าสุดเผยว่า 6 ใน 10 ของ Gen Z รู้สึกหมดแรงและขาดความสุขจากการเสพข้อมูลที่เยอะเกินไป
จากประสบการณ์ที่ได้เห็นและทำงานกับโรงเรียนและสถานศึกษามาหลายปี
ยิ่งทำให้มั่นใจว่าโรงเรียนมีศักยภาพอย่างมากในการเป็น “บ้านหลังที่สอง” ที่อบอุ่น ปลอดภัย และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในใจให้นักเรียนได้จริงๆ
โรงเรียนไม่ควรเป็นแค่ที่เรียนวิชา
แต่สามารถเป็น “บ้านหลังที่สอง” ที่สร้างความมั่นคงทางใจให้เด็กๆ ได้
ในบทความนี้นักจิตจึงขอแบ่งปันมุมมอง ที่จะช่วยสร้างเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ท่ามกลางเทคโนโลยีในโลกยุคนี้
ผ่าน 3 แนวทางหลัก ดังนี้ค่ะ
1) คืนเวลาคุณภาพให้กิจกรรม การเล่น และการมีปฏิสัมพันธ์
การเล่นอย่างอิสระไม่ใช่เรื่องไร้สาระ หากแต่เป็นพื้นที่ให้เด็กนักเรียนของเราได้เรียนรู้ผ่านการทดลอง ผ่านความล้มเหลว และเสียงหัวเราะ
ทำให้พวกเขาเรียนรู้วิธีรับมือกับความผิดหวังในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมทั้งพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมด้วย
โดย ดร. Jonathan เสนอว่าโรงเรียนสามารถ:
• กำหนดนโยบายการปลอดโทรศัพท์ในโรงเรียนตลอดวัน โดยไม่ใช่แค่ห้ามใช้ในห้องเรียนแต่ยังรวมถึงในช่วงพักด้วย โดยอาจขยายเวลาพักกลางวันให้เพียงพอสำหรับการทำกิจกรรม การเล่น และพักผ่อน
• ลดการบ้านที่เกินจำเป็น โดยเฉพาะเด็กประถมและมัธยมต้น เน้นการจัดชมรมที่ไม่เน้นเฉพาะวิชาการ เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือกิจกรรมตามความสนใจของเด็กนักเรียน
• ส่งเสริมการเล่นอิสระที่เด็กเป็นผู้ริเริ่มด้วยตนเอง เพื่อฝึกทักษะการแก้ปัญหาและการสื่อสาร ให้นักเรียนรุ่นพี่ รุ่นน้องได้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อพัฒนาทักษะผู้นำและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
• และสิ่งสำคัญคือการมีดูแลนักเรียนที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างบ้านและโรงเรียนเพื่อเด็กจะได้ไม่รู้สึกสับสน
2) การบูรณาการความรู้ดิจิทัลและสุขภาพจิตในหลักสูตรของโรงเรียน
อย่างที่เราทราบกันค่ะว่าในยุคนี้คงห้ามไม่ให้เด็กนักเรียนหรือแม้แต่ตัวเราเองใช้เทคโนโลยีไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราจะช่วยให้พวกเขาใช้มันอย่างรู้เท่าทันและดูแลใจตัวเองไปพร้อมกันได้อย่างไร
สิ่งที่เราสามารถทำได้ในโรงเรียนคือ:
• การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) การสอนเรื่อง social media ว่ามันทำงานยังไง รู้จักกลไกการทำงานของอัลกอริทึม ทำไมถึงเราถึงติดหน้าจอ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจว่ามันไม่ใช่ปัญหาของ “ตัวเขา” แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อดึงเวลาและความสนใจ
• การอยู่กับเทคโนโลยีอย่างสมดุล (Digital Well-being) ฝึกทักษะการบริหารเวลา การตั้งขอบเขต และการเลือกใช้งานเทคโนโลยีอย่างมีสติ
• การรอบรู้เรื่องสุขภาพจิต (Mental Health Literacy) สอนให้เด็กๆเข้าใจกลไกของอารมณ์ ความเครียด วิตกกังวล ความเศร้า และเรียนรู้วิธีรับมืออย่างเปิดเผยและไม่รู้สึกผิด
• การมีทักษะชีวิต (Life Skills) เช่น การตระหนักรู้และเข้าใจในตัวเอง การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ การขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา การเข้าใจสถานการณ์และความหลากหลายทางสังคม
• การมีศูนย์ให้คำปรึกษาหรือพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมต้นทุนทางจิตใจ เช่น ความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) การมองโลกในแง่บวก (Optimism) การเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง (Self efficacy) โดยเน้นการสร้าง mindset ของการมองปัญหาหรืออุสรรคให้เป็นความท้าทายในการพัฒนาตนเอง เป็นต้น
3) ครูทำหน้าที่เป็น “ผู้นำกระบวนการเรียนรู้”
ครูไม่ใช่แค่ผู้สอน แต่คือผู้นำทาง ที่สามารถพาเด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการตั้งคำถามที่ดีและการสะท้อนกลับ
เด็กที่ได้ฝึกคิดเป็น ตั้งคำถามกับตัวเองและเรียนรู้ที่จะมองสถานการณ์ในหลายมุมจะมีทักษะสำคัญในการรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
นอกจากนี้ทักษะการตั้งคำถามยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับนักเรียนในโลกยุคปัจจุบันอีกด้วยค่ะ
สิ่งที่ครูสามารถทำได้ เช่น
• ชวนเด็กตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นในโซเชียล ว่า “จริงไหม? จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับเราไหม?”
• ใช้วิธีสอนที่เน้นการสะท้อนความคิดมากกว่าท่องจำเพื่อให้เด็กเห็นคุณค่าในมุมมองของตนเอง
• สร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุยแลกเปลี่ยน และยอมรับความแตกต่าง
• พาเด็กฝึกคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) คิดอย่างเป็นเหตุผล และคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) ควบคู่กัน
เมื่อครูกลายเป็น “กระจกสะท้อน” ให้เด็ก
พวกเขาจะค่อยๆ พัฒนาความรู้และภูมิคุ้มกันทางใจ เพราะเขาได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเอง รู้จักตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว และมั่นใจในการเดินทางของตัวเองมากขึ้น สิ่งเหล่านี้คือ “วัคซีนทางใจ” ที่จะคอยปกป้องพวกเขาเมื่อเผชิญแรงกดดันจากโลกภายนอกที่บางครั้งอาจไม่ค่อยใจดีนัก
นักจิตเชื่อว่าเมื่อโรงเรียนให้ความสำคัญกับการเติบโตทางจิตใจไปพร้อมกับการเรียนรู้ เด็กนักเรียนของเราจะได้เรียนรู้คุณค่าของตัวเอง และการได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริงค่ะ
เพราะ “สุขภาพใจและต้นทุนทางจิตวิทยาเป็นรากแก้วของการสร้างคนให้สังคม”
#สุขภาพจิตในโรงเรียน #จิตวิทยาการศึกษา #จิตวิทยาเชิงบวก #GenZ #ภูมิคุ้มกันทางจิตใจ #socialmedia #จิตวิทยาโรงเรียน #สถานศึกษา #นักจิตอยากเล่า
_______
เรียบเรียงโดย พิชชาพร สิทธฺโชค
แหล่งอ้างอิง:
UNICEF. 2025. UNICEF Perception of Youth Mental Health Report 2025
Dodd, H.F., Nesbit, R.J. & FitzGibbon, L. Child’s Play: Examining the Association Between Time Spent Playing and Child Mental Health. Child Psychiatry Hum Dev 54, 1678–1686 (2023)
Jonathan Haidt. (2024). The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness. London: Penguin Books


ความคิดเห็น